อาการปวดท้องประจำเดือน
ปวดประจำเดือน
เป็นอาการที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องพบเจอ โดยลักษณะทั่วไปของอาการปวดประจำเดือนนั้น มักจะเป็นการปวดท้องน้อยที่ไม่รุนแรงซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ก็มีบางรายที่มีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
อาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อย
อาการปวดท้องประจำเดือนเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน หรือในช่วงวันแรกๆ ของการประจำเดือน ไปจนหลังมีประจำเดือนแล้ว โดยลักษณะอาการปวดมีตั้งแต่ปวดบีบ ปวดหน่วง ปวดเกร็ง ปวดท้องน้อยรุนแรง ปวดร้าวหลังด้านล่างและหน้าขา หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเสีย ท้องผูก เวียนศีรษะ และเหงื่อออก เป็นต้น
ประเภทของอาการปวดท้องประจำเดือน ดังนี้
1. Dysmenorrhea หรือ การปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดขึ้นโดยไม่มีโรคหรือความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์มาเกี่ยวข้อง สาเหตุหลักของอาการปวดแบบนี้ เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกที่มากกว่าปกติ เนื่องจากในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายจะผลิตสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อช่วยในการลอกตัวของเยื่อบุมดลูก เมื่อระดับโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) สูง การบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกก็จะรุนแรงขึ้น และทำให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือนมากขึ้นได้
2. Dysmenorrhea หรือ การปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากโรค หรือความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตอยู่นอกมดลูก เช่น ที่รังไข่ ท่อนำไข่ หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ภายในอุ้งเชิงกราน ซึ่งเยื่อบุเหล่านี้ตอบสนองต่อฮอร์โมนประจำเดือนเช่นเดียวกับเยื่อบุภายในมดลูก จึงทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบได้เช่นกัน
ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts) ซีสต์ในรังไข่เป็นถุงน้ำที่เติบโตในรังไข่ สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยโดยเฉพาะในช่วงมีรอบเดือน
เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroids) เนื้องอกมดลูกเป็นเนื้องอกชนิดไม่ใช่มะเร็งที่เติบโตในมดลูก สามารถทำให้เกิดอาการปวดและความไม่สบายตัวในช่วงมีรอบเดือน
ภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID) ภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกรานเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายจากช่องคลอดเข้าสู่อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง
การใช้ห่วงอนามัย (Intrauterine Device – IUD) การใช้ห่วงอนามัยบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
วิธีการลดอาการปวดประจำเดือน
การทานยาแก้ปวด: เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด
การใช้กระเป๋าน้ำร้อน: ความร้อนจากกระเป๋าน้ำร้อนที่ว่างไว้บนหน้าท้อง จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดการหดตัวของมดลูก ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
การดูแลสุขภาพจิต: การทำสมาธิ และการนวดระยะสั้นอาจช่วยลดความเครียด และเพิ่มความผ่อนคลาย ทำให้ลดความเจ็บปวดลงได้
การปรึกษาแพทย์: หากอาการปวดไม่ดีขึ้น หรือรุนแรงขึ้นในแต่ละเดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจ วินิจฉัย และรักษาให้ตรงจุด
ทั้งนี้ หากมีอาการปวดประจำเดือนรุนแรง มีอาการปวดประจำเดือนเฉพาะจุด หรือเริ่มมีอาการเปลี่ยนไปในทางที่รุนแรงขึ้น มีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง ประจำเดือนมาเยอะและมานานกว่า 7 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจ วินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท