10 สูตรสู้ไข้หวัด… อากาศเปลี่ยนแค่ไหนก็เอาอยู่!

 
newstechace_10 สูตรสู้ไข้หวัด… อากาศเปลี่ยนแค่ไหนก็เอาอยู่!.jpg
 
 

         ลมหนาวโชยเข้ามาปะทะผิวเบาๆ ให้สั่นสะท้านกันแล้ว โดยเฉพาะในตอนเช้าที่หลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ไม่ไหวจะเคลียร์!' และหากใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนขี้หนาว ปรับตัวไม่ทัน และแพ้อากาศได้ง่าย ช่วงนี้ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ อาจจะต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีหน่อย เพราะไข้หวัดอาจถามหาเอาได้ง่ายๆ

         เพื่อป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ หรือใครที่คิดว่าตัวเองเริ่มจะเป็นไข้หวัด ไทยรัฐออนไลน์มี 10 สูตรสู้หวัดมาแชร์บอกต่อกัน รับประกันว่าจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเยอะจนหายเป็นปลิดทิ้ง …

สูตรที่ 1 : ทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อมีเชื้อโรค หรือแบคทีเรียมาคุกคามจะส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายจะปรับสูงขึ้น แต่คุณอย่าได้กังวลใจไปเวลาคุณตัวร้อนขึ้นเหมือนจะเป็นไข้ เพราะนั่นแสดงว่า ภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังทำงานหนัก เพื่อจัดการกับเชื้อโรคอย่างขันแข็ง!

สูตรที่ 2 : 'น้ำอุ่น' ช่วยบรรเทาอาการหวัด เราแนะนำให้คุณเริ่มใช้น้ำอุ่นตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า โดยเริ่มจากลองแปรงฟัน-บ้วนปากด้วยน้ำอุ่น มันจะช่วยขับเสมหะและลดอาการไอได้ดีเลยล่ะ ต่อด้วยอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยปรับสภาพ และควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่ … ไม่เย็นจนเกินไปจนเป็นเหตุนำพาให้คุณไม่สบาย

สูตรที่ 3 : 'ฟ้าทะลายโจร' ด้วยสรรพคุณสำคัญในต้นและใบของพืช สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ และการอักเสบได้ นำมากินจะช่วยระงับอาการหวัด (ที่ติดเชื้อ) ได้ทีเดียว ยาฟ้าทะลายโจรไม่นิยมแต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น ชาวจีน, อินเดีย หรือแม้แต่ชวาก็นิยมใช้ยาตัวนี้เช่นกัน

สูตรที่ 4 : วิธีชาวบ้านง่ายๆ เพียงแค่อมเกลือบ้วนปาก-กลั้วคอก็ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ โดยเรามี 2 สูตรเวิร์กๆ มาแนะนำ …

         - สูตรแรก คือ ใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว อมบ้วนปากวันละ 3 – 4 ครั้ง (ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี) เพื่อกำจัดเชื้อโรค และแบคทีเรียสะสมในช่องปากและลำคอ
         - สูตรสอง คือ แค่เบกกิ้งโซดาก็โอเคแล้วล่ะ (หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต) โดยผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชา กับน้ำเปล่า 1 แก้ว กลั้วคอวันละ 3 – 4 ครั้ง รับรองอาการเจ็บคอจะค่อยๆ ดีขึ้น

สูตรที่ 5 : สูตรเบสิกลดอาการตัวร้อน และบรรเทาอาการไอเจ็บคอ (จากการระคายเคือง และเสมหะ) ได้ผลดีเยี่ยม คือการดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ ตลอดวันได้ยิ่งดี เพื่อให้หายขาด (ดื่มสัก 1-2 วัน) หรืออาจบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ งดอาหารทอด แต่ในกรณีที่ยังมีอาการไอรุนแรง และเรื้อรังอยู่ ขอแนะว่าควรไปพบคุณหมอโดยด่วนจะดีกว่านะ!

สูตรที่ 6 : 'อบไอน้ำสมุนไพร' ด้วยสมุนไพรกลิ่นหอมๆ ให้โล่งจมูก-โล่งคอ อย่างเช่น ไพล ขมิ้น ผิวมะกรูด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าลอง แค่คุณนำสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยมาเติมด้วยสมุนไพรที่ผ่านความร้อน อย่าง การบูร หรือพิมเสนเล็กน้อย ตั้งไว้อยู่ตามมุมห้อง คุณจะได้กลิ่นหอมของสมุนไพรฟุ้งไปทั่วห้อง ซึ่งไม่เพียงจะช่วยบำบัดอาการหวัดคัดจมูกให้หายอย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงต่อการเป็นไซนัสอักเสบช่วงหน้าหนาวแล้ว แต่คุณยังรู้สึกผ่อนคลาย สบายสดชื่นขึ้นด้วย

สูตรที่ 7 : นำสมุนไพรมาทานก็ต้านหวัดได้เช่นกัน! โดยคุณอาจหยิบสมุนไพรง่ายๆ ที่กินกันอยู่เป็นประจำมาทาน เช่น พืชผักกลิ่นรสเผ็ดร้อน อย่างพริกไทย หัวหอมแดง กระเทียม ขิง กะเพรา จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส และแบคทีเรียได้ดีทีเดียว

สูตรที่ 8 : เคยได้ยินไหมว่าอาหารเปรี้ยวหวาน รวมถึงผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเฟือง มะละกอ มะขามป้อม พุทรา มะปราง ฯลฯ ช่วยต้านหวัดได้ ยิ่งทานผลไม้สดๆ คุณจะได้รับคุณค่าของวิตามินซีจากผลไม้ และสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์โดยตรงที่จะช่วยต้านหวัด และกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อสู้กับไข้หวัด (ใครที่เริ่มเป็นหวัด) หากใครไม่ชอบทานอาหาร หรือผลไม้รสเปรี้ยว เป็นหวัดคราวนี้คงต้องลองดูสักหน่อยแล้วล่ะ

สูตรที่ 9 : 'ไช้เท้า' สูตรต้านหวัดตำรับจีน! รู้ไหมว่านอกจากเอามาปรุงทำเป็นอาหารจานโปรดแล้ว คุณยังสามารถนำหัวไช้เท้าสดมาคั้นน้ำ เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยดื่มแก้ไอ แก้เจ็บคอได้ด้วย เนื่องจากไช้เท้ามีสรรพคุณในการกระจายตัวของสิ่งหมักหมมในร่างกาย (เชื้อแบคทีเรียต่างๆ) ช่วยละลายเสมหะ แก้พิษ และลดความดันโลหิตได้ดี เราแนะนำให้คุณดื่มวันละ 2-3 แก้วต่อวัน เพื่อบำรุงสุขภาพช่วงหน้าหนาว และกำราบอาการไอให้หมดไป

สูตรที่ 10 : นอนเพิ่มพลัง … วิธีรักษาเยียวยาตัวเองที่ง่ายที่สุด เปรียบเสมือนการพักผ่อนชาร์ตแบตให้กับตัวเอง เมื่อคุณเริ่มรู้ตัวว่าไม่สบาย คุณควรนอนหลับเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาเต็มที่ในการซ่อมแซมบำรุง และฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งหากคุณนอนอย่างเพียงพอก็จะทำให้ร่างกายฟื้นแข็งแรงเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี เวลานอนที่ดีที่สุด คือ การนอนหัวค่ำและตื่นเช้า เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐออนไลน์